
แค หรือ SESBANIG GRANDIFLORA-DESV อยู่ในวงศ์ PAPILIONACEAE เป็นไม้ยืนต้น
สูง ๓-๕ เมตร โตเร็วมีกิ่งก้านมาก เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล มีร่องขรุขระตามยาว หนา เปลือกในสีชมพู รสฝาดใบเป็นใบประกอบขนนก มีใบย่อยมากกว่า ๕๐ ใบ ดอก มี ๒ สีคือ สีขาว และ สีแดง ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย ๒-๔ ดอก ดอกเป็นรูปดอกถั่วขนาดใหญ่ กลีบเลี้ยงเป็นรูประฆัง หรือรูปถ้วย ดอกห้อยลง “ผล”เป็นฝักแบน ยาว ๘-๑๕ ซม. เมื่อแก่จะแตกออกเป็น ๒ ซีก มีเมล็ดเรียงอยูตรงกลางแถวเดียว เมล็ดคล้ายเมล็ดถั่ว กลมแบนสี น้ำตาลอ่อน หนึ่ง ฝกมีหลายเมล็ดดอกออกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเมล็ด

ปลูกง่ายในดินทุกชนิดขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ขนาดของลำต้นนั้นแล้วแต่พันธุ์ และจะออกดอกเป็นสีขาว และสีแดงเมื่อดอกบานออก พวกแมลงก็จะมาตอมแล้วจะผสมเกสรระหว่างดอกกัน จากนั้นก็จะกลายเป็นฝัก ฝักจะมีลักษณะเหมือนถั่วฝักยาว ทุกส่วนของแคสามารถนำมาทำยาได้ จึงนับว่าเป็นพืชที่ทรงคุณค่ามากชนิดหนึ่ง สวนที่นำมารับประทานได้ มียอดอ่อน ดอกอ่อน ใบอ่อน และฝัก่ออน ออกในช่วงฤดูฝน ส่วนดอกอ่อนจะออกในช่วงฤดูหนาวดอกแค ๑๐๐ กรัม หรือ ๑ ขีด ให้พลังงานต่อร่างกาย ๑๐ กิโลแคลอรี มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง และวิตามินซี การรับประทานดอกแคจะทำให้ร่างกายได้เส้นใยอาหาร ดอกแค เมื่อแก่จนกลีบร่วง ก็จะมีฝักอ่อน นำมาทำอาหารได้ เมื่อแก่จะแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ด เจริญเติบโตง่ายมีอายุไม่นานก็ยืนต้นตาย แพร่พันธุ์ด้วยฝักที่มีเมล็ดแก่จัด การนำดอกแคมาทำอาหารต้องเด็ดเกสรสีเหลืองของดอกแคออกก่อนจะทำให้ไม่มีรสขม โดยนิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน คันนา ริมถนน และในบริเวณบ้าน หรือปลูกไว้เพื่อปรับพื้นที่ให้มีปุ๋ย เพราะใบแคที่ผุแล้ว ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์
วิธีการปลูกแค
ในการปลูกแคเพื่อเก็บดอกแคขาย จะต้องนำฝักแคที่แก่จัดนำฝักแคมาแกะเอาเมล็ดออก แล้วนำเมล็ดแคไปเพาะในแปลงเพาะดูแลรักษาต้นกล้าแคจนกระทั่งต้นกล้าแคมีความสูงประมาณ ๑๐ เซนติเมตร หรือเมื่อแคมีอายุประมาณ ๑ เดือน จากนั้นจึงย้ายต้นกล้ามาปลูกลงในแปลงปลูกที่ยกร่องไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับระยะปลูกควรจะเป็น ๑.๕-๒ เมตร จากนั้นประมาณ ๓ เดือน หรือเมื่อแคมีความสูงต้นประมาณ ๑ เมตร ก็จะสามารถเก็บดอกแคขายได้แล้ว
การดูแลรักษา
ในขั้นตอนของการปฎิบัติดูแลรักษา มีคำแนะนำเกี่ยวกับการให้น้ำต้นแคว่าไม่ควรให้น้ำแก่ต้นแคมากเกินไป เพราะจะทำให้แคไม่ค่อยออกดอก ควรจะให้น้ำเพียงอาทิตยละ ๑ ครั้ง ก็เพียงพอ สวนการให้ปุ๋ยควรจะให้ปุ๋ยทางใบและสารเร่งดอกไปพร้อม ๆ กับการใช้สารป้องกันกำจัดแมลงโดยผสมทั้งสามอยางเข้าด้วยกัน แล้วฉีดพ่นประมาณ ๑๕ วันตอหนึ่งครั้ง เมื่อต้นแคมีอายุได้ ๑ ปีให้ทำการตัดแตงกิ่งข้างล่างและกิ่งที่พุ่งสูงขึ้นไปทิ้งให้เหลือกิ่งที่อยู่ในระดับเท่าความสูงคนเพื่อสะดวกในการเก็บดอกแค และพยายามตัดแต่งให้กิ่งแผ่ออกด้านข้างจนดูเป็นทรงพุ่มโปร่ง ๆ เพราะนอกจากจะสะดวกในการเก็บดอกแล้วยังทำให้มีแมลงมารบกวนน้อยหรือถ้าหากมีแมลงมารบกวนก็สามารถฉีดพ่นยาป้องกันกำจัดได้ง่าย นอกจากนั้นยังทำให้ออกดอกได้มากอีกด้วย
เมื่อต้นแคเริ่มออกดอก จะสังเกตุเห็นเป็นตุ่มดอกสีเขียว จากนั้นอีกประมาณ ๒-๓ วันดอกก็จะมีขนาดใหญ่ มีกลีบดอกสีขาว รูปทรงคล้ายกับเมล็ดถั่ว ก็จะเก็บดอกแคขายได้ และควรเก็บดอกแคตั้งแต่ดอกยังตูมอยู่ไม่ควรรอจนดอกบานแล้วจึงเก็บเพราะจะทำให้ราคาถูกลง ในส่วนของฝักแคอ่อน ๆ ที่มีลักษณะคล้ายถั่วฝักยาวนั้น สามารถนำมารับประทานได้โดยนํามาต้มรับประทานกับน้ำพริกปลาทูในลักษณะเครื่องเคียงผักสดหรือใส่ในแกงป่า แกงส้มก็ได้เช่นกัน แต่เนื่องจากในสมัยก่อนมีพืชผักรับประทานกันมากมายจึงไม่ค่อยนิยมนำฝักแคมารับประทานกัน ในส่วนของราคาและผลผลิตดอกแคนั้น ในพื้นที่ ๑ ไร่ ใช้ระยะปลูก ๑.๕-๒ เมตร สามารถจะเก็บดอกแคได้เฉลี่ยวันละ ๒๐-๓๐ กิโลกรัม ส่งจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ ๒๐-๒๕ บาท ก็จะมีรายได้ประมาณวันละ ๔๐๐ บาท ราคาขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดและในเขตพื้นที่ ดังนั้นจะถืออาชีพปลูกหรือเก็บดอกแคขายเป็นอาชีพเสริมกันก็ได้
คุณสมบัติในการใช้รักษาโรคของดอกแค
๑. รักษาโรคไข้หัวลม เมื่ออากาศเริ่มเปลี่ยน
๒. เป็นยาระบาย หากใช้ใบของมัน
๓. แก้รอยฟกช้ำโดยการโขลกแล้วนำไปพอกบริเวณนั้น
๔. รักษาโรคริดสีดวงจมูก โดยใช้เปลือก ใบ ราก และดอกมาต้มหยอดจมูก
๕. โรคปวดศีรษะใช้เปลือกไปต้มรับประทาน
๖. โรคบิด ถ่ายเป็นมูกเลือด ท้องร่วงใช้เปลือกไปต้มหรือฝนรับประทาน