เห็ดนางรมหลวง หรือ เห็ดออรินจิ (Eringii Mushroom)

เห็ดนางรมหลวง หรือ เห็ดออรินจิ (Eringii Mushroom)
จัดเป็นเห็ดเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง เห็ดนางรมหลวง มีโปรตีนประมาณ 25 % คลอเรสเตอรอลต่ำ และมีคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ ที่สำคัญปลอดภัยต่อผู้บริโภคไม่มีการใช้สารเคมี

ในบรรดาเห็ดเศรษฐกิจเขตหนาวที่เพาะปลูกกันแพร่หลายทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ มีด้วยกันหลายชนิด ในยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย นิยมเพาะเห็ดกระดุมเป็นหลัก ส่วนประเทศในเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน นิยมเพาะเห็ดหอม และเห็ดเข็มทองเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้เห็ดในตระกูลเห็ดนางรมก็มีเพาะแพร่หลายเช่นกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่า
เห็ดนางรมหลวงหรือเห็ดออรินจิ เป็นเห็ดในตระกูลนางรมอีกชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะรูปร่างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จากเห็ดนางรมชนิดอื่น ๆ ที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในตลาด จุดเด่นของเห็ดชนิดนี้ก็คือ ก้านดอกจะมีขนาดใหญ่ และหมวกดอกหนา ออกดอกไม่เป็นกลุ่ม ก้านดอกมีสีขาว ส่วนด้านบนของหมวกดอกจะมีสีเทาอ่อน ถ้าเพาะเห็ดภายใต้โรงเรือนที่ควบคุมสภาพแวดล้อมจะได้ดอกเห็ดที่มีก้านดอกอวบใหญ่ ยาว และมีหมวกดอกเล็ก ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้บริโภค แต่ถ้าเพาะในโรงเรือนเปิด ก้านดอกเห็ดจะมีขนาดเล็กและสั้นกว่า แต่หมวกจะใหญ่กว่า


จากการศึกษาทดลองเพาะที่ศูนย์วิจัยและผลิตเชื้อเห็ดของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ที่ดอยปุย จ.เชียงใหม่ พบว่าเชื้อเห็ดนางรมหลวงสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอาหารเลี้ยงเชื้อทั่วไป แต่ต้องการอุณหภูมิที่ค่อนข้างเย็นประมาณ 25 ซ. และเลี้ยงขยายเชื้อได้ดีในเมล็ดข้าวฟ่างเช่นเดียวกับเห็ดชนิดอื่น ๆ ขี้เลื่อยไม้เนื้ออ่อน (ยางพารา) หรือผสมกับวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เช่น ซังข้าวโพดบด ต้นไมยราบบด ใช้เป็นวัสดุเพาะหลัก โดยผสมกับอาหารเสริม เช่น รำข้าว รากมอลต์ เมล็ดข้าวฟ่างบด น้ำตาลทรายแดง ความชื้น 70-75% บรรจุในขวดพลาสติก ปากกว้างขนาดความจุ 1 ลิตร อบฆ่าเชื้อที่ 121 ซ. นาน 1 ชม. เลี้ยงเชื้อที่อุณหภูมิ 22-25 ซ. นานประมาณ 30 วัน เชื้อเห็ดจะเจริญเต็มขวด แล้วเลี้ยงต่อให้เชื้อเจริญเติบโตเต็มที่อีกประมาณ 10 วัน จึงนำไปเปิดดอกที่อุณหภูมิ 15-20  ซ. ความชื้น 80-90% หลังจากเปิดขวดได้ประมาณ 15 วัน ก็จะเก็บเห็ดได้ผลผลิตอยู่ระหว่าง 100-150 กรัมต่อขวด โดยทั่วไปจะทำการเก็บเห็ดเพียงรุ่นเดียว จะเก็บเห็ดรุ่นแรกแล้วทิ้งเพราะเห็ดรุ่นที่สองคุณภาพไม่ดี มีขนาดเล็กและน้ำหนักน้อย ได้ผลไม่คุ้มกับเวลาและค่าใช้จ่ายที่เสียไป


เห็ดนางรมหลวงหรือเห็ดออรินจิ โดยเฉพาะก้านดอกซึ่งมีขนาดใหญ่เนื้อแน่น และไม่เหนียวแน่นแต่คงรูปได้ดีในทุกสภาพและไม่เป็นเมือก จึงเหมาะสำหรับใช้ประกอบอาหารได้ทุกประเภท นิยมหั่นเฉียงให้มีความหนาประมาณ 1 ซม. หรือหั่นเป็นก้อนสามเหลี่ยม รับประทานแล้วจะได้รสชาติดี คาดว่าจะเป็นเห็ดที่ตลาดนิยมและมีความต้องการสูงอีกชนิดหนึ่งในอนาคต

เห็ดเออรินจิ หรือ เห็ดนางรมหลวง เป็นเห็ดเมืองหนาว พบมากในประเทศญี่ปุ่น และประเทศในแถบยุโรป ส่วนการเพาะเห็ดเออริจิ ในประเทศไทยในขณะนี้ มีเพียงฟาร์มเห็ด ปิยะพร อินเตอร์เอโกรโลยี ที่จังหวัดสระบุรี เพียงแห่งเดียว ที่สามารถเพาะเห็ดเออริจิ ออกจำหน่าย

                นายชาญชัย กิตติชูโชติ เจ้าของกิจการฟาร์มเห็ดปิยะพรฯ กล่าวว่า สำหรับเห็ดเออริจิ เป็นเห็ดที่มีรสชาติดี และเมื่อนำมาผ่านขบวนการปรุงเป็นอาหาร รสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ เช่น ถ้านำมาย่าง รสชาติเหมือนกับปลาหมึกย่าง และเมื่อนำมาทำน้ำแดงรสชาติเหมือนเปาฮื้อ ทำให้มีการนำเห็ดเออริจิมาใช้แทนเนื้อสัตว์ ในการปรุงอาหารมังสวิรัช

               ทั้งนี้ คุณค่าทางอาหารของเห็ดเออริจิ มีโปรตีนประมาณ 25 % คลอเรสเตอรอลต่ำ คุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ ที่สำคัญปลอดภัยต่อผู้บริโภคไม่มีการใช้สารเคมี เห็ดเออริจิจึงถูกจัดเป็นเห็ดเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ซึ่งการเพาะเห็ดเออริจิ ของฟาร์มปิยะพรฯ ใช้การเพาะเลี้ยงในระบบปิด เนื่องจากเป็นเห็ดเมืองหนาว จะต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส


               โดยความรู้ในการเพาะเห็ด ทางฟาร์มปิยะพรฯได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ วว. โดยอาจารย์ สำเภา ภัทรเกษวิทย์ เป็นที่ปรึกษาโครงการและควบคุมการผลิต และเนื่องจากการเพาะเห็ดเออริจิในเมืองไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันมากจากประเทศต้นกำเนิด ทำให้การเพาะเห็ดดังกล่าว ต้องใช้เวลาและใช้ทุนจำนวนมากถึง 40 ล้านบาท

                ส่วนหนึ่งทางฟาร์มได้รับเงินกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ซึ่งทางธนาคารฯ เห็นว่าเป็นธุรกิจของคนไทย และเป็นธุรกิจการเกษตรที่แปลกใหม่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ในขณะที่เจ้าของฟาร์มเห็ด สนใจทำเห็ดเออริจิ แม้ว่าทุนค่อนข้างจะสูงมาก เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ และเป็นรายแรก ประกอบกับเห็ดเออริจิเป็นเห็ดเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ซึ่งเข้ากับกระแสของคนรักสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ในปัจจุบัน

                นายชาญชัย กล่าวว่า ในครั้งแรกที่เริ่มทำฟาร์มเห็ดเออริจิ ไม่ประสบความสำเร็จ และตั้งใจว่าจะเลิกทำ โดยหยุดทำไปพักหนึ่ง ซึ่งทางอาจารย์สำเภา ก็ได้คิดค้นหาวิธีการเพาะเลี้ยงใหม่จนประสบผลสำเร็จ และมาชักชวนให้ทำอีกครั้ง ซึ่งเราเห็นว่า ในเมื่อมีโรงเรือน ที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ และที่ผ่านมาก็ลงทุนไปแล้ว จึงตัดสินใจลงทุนเพิ่มและทำใหม่อีกครั้ง โดยในครั้งหลังนี้ ผลผลิตออกมาเป็นที่พอใจ โดย ตั้งเป้าไว้ว่า จะสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 5 ปี

               โดยผลผลิตที่ได้ในขณะนี้ ประมาณ 300 -400 กิโลกรัม ต่อวัน ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวผลผลิตนับตั้งแต่วันที่เริ่มเพาะประมาณ 2 เดือนครึ่ง สายพันธุ์ที่นำมาเพาะเป็นสายพันธุ์ที่นำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบยุโรป การที่ผลิตได้เองภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าลงได้ ทำให้ไม่ต้องเสียดุลการค้า ส่วนราคาขายในท้องตลาด ประมาณ 300 - 350 บาท ราคาขายหน้าโรงงานกิโลกรัมละ 250 บาท

               ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่าย เนื่องจากเป็นเห็ดที่ต้องอยู่ในห้องเย็นเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส ดังนั้น จึงไม่สามารถนำไปวางขายทั่วไปได้ และประกอบกับผลผลิตที่ออกมาในขณะนี้ ยังไม่เพียงพอ ต่อความต้องการของตลาด ผลผลิตที่ออกมาส่วนใหญ่จะส่งตามร้านอาหาร และซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีชื่อเสียงบางแห่ง

               สำหรับตลาดเห็ดเออริจิในประเทศไทย ตลาดยังมีความต้องการอยู่สูงมาก เนื่องจากประเทศไทยมีผู้ปลูกได้เพียงรายเดียว และชื่อของเห็ดเออริจิเป็นที่รู้จักของคนไทยระดับหนึ่ง ส่วนหนึ่งคงมาจากชื่อเสียงของเห็ดเออริจิ ที่ดังมาจากประเทศญี่ปุ่น และประเทศในแถบยุโรป ร้านอาหารที่รับเห็ดเออริจิจากเราไป ส่วนหนึ่งทำอาหารขายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่รู้จักเห็ดเออริจิ

               ส่วนเมนูที่ได้รับความนิยม เห็ดย่าง เห็ดผัดพริกไทดำ เห็ดผัดน้ำมัน เห็ดเปาฮือน้ำแดง เห็ดชุบแป้งทอด เป็นต้น แม้ว่ากำลังการผลิตจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด แต่การเพิ่มกำลังการผลิต ก็คงต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง เพราะการเพิ่มกำลังการผลิตต้นทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการที่รายอื่นๆ จะหันมาผลิต ก็คงจะต้องคิดหนัก เพราะต้นทุนที่ค่อนข้างสูง โดยยังไม่สามารถหาวิธีการเพาะเลี้ยงในระบบเปิดได้ ถ้าเลี้ยงในระบบเปิดได้ คงจะมีการเลี้ยงอย่างแพร่หลาย และราคาก็จะถูกลง.
Share this video :

บทความที่ได้รับความนิยม

 
Support : |
Copyright © 2011-2012 อาชีพพารวย - All Rights Reserved
เข้าสู่ปีที่ 2 อาชีพพารวย เพื่อนคู่คิดนักเกษตร พ.ศ. 2555
เว็บไซต์เพื่อนเกษตร