การเลี้ยงกดเหลือง

การเลี้ยงปลากดเหลือง
ปลากดเหลืองเป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง  มีราคาดี  เนื้อมีรสชาติดีเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในรูปสดและแปรรูป  เช่น  แกงเหลือง  ฉู่ฉี่  และย่าง ฯลฯ  มีชื่อสามัญ  Green Catfish  และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Mytus nemurus  ได้รับการตั้งชื่อครั้งแรกโดย  Cuvier  และ  Valencieness  ในปี  2436  ปลากดเหลืองมีการเรียกชื่อแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น  ซึ่งชาวประมงแถบจังหวัดกาญจนบุรี  เรียกว่า  ปลากดกลางหรือปลากลาง  แถบจังหวัดฉะเชิงเทราและชลบุรีเรียกว่า  ปลากดนาหรือปลากดเหลืองแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า  ปลากดฉลอง  แถบจังหวัดปัตตานีและนราธิวาสเรียกว่า  อีแกบาวง  แต่ปลาชนิดนี้ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย  เรียกว่า  ปลากดเหลือง

 การแพร่กระจาย   ปลากดเหลืองพบแพร่กระจายในแหล่งน้ำจืดทั่วไปของทวีปเอเชียตั้งแต่เอเชียตะวันตก  ได้แก่  อินเดีย  เนปาล  ปากีสถาน  และบังกลาเทศ  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่  เมียนมาร์  ไทย  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  กัมพูชา  เวียดนาม  มาเลเซีย  และอินโดนีเซีย  สำหรับในประเทศไทยพบแพร่กระจายในแหล่งน้ำธรรมชาติและอ่างเก็บน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ  เช่นภาคเหนือพบในลำน้ำกก  ปิง  วัง  ยม  น่าน  กว๊านพะเยา  บึงบอระเพ็ด  เขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิติ์  และเขื่อนกิ่วลม  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบในแม่น้ำมูล แม่น้ำโขงและสาขาในเขื่อนอุบลรัตน์  เขื่อนลำปาว  เขื่อนลำตะคอง  ภาคกลาง  พบในแม่น้ำเจ้าพระยา  แม่น้ำท่าจีน  แม่น้ำแม่กลอง  แม่น้ำปางปะกง  แม่น้ำป่าสัก  เขื่อนศรีนครินทร์  เขื่อนวชิราลงกรณ์และแก่งกระจาน  ภาคใต้พบในแม่น้ำตาปี  ปัตตานี  สายบุรี  บางนรา  โก-ลกและสาขาบริเวณปากแม่น้ำย่านน้ำกร่อยบริเวณชายฝั่งก็สามารถพบปลากดเหลืองได้  นอกจากนี้พบในทะเลน้อย  ทะเลสาบ  สงขลาและพรุต่างๆ  เช่น  พรุโต๊ะแดง  จังหวัดนราธิวาส  พรุควนเคร็งในจังหวัดนครศรีธรรมราช

  อุปนิสัย    ปลากดเหลืองสามารถเจริญเติบโตและอยู่อาศัยได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย  แต่ชอบอาศัยอยู่ตามพื้นท้องน้ำที่เป็นแอ่งหินหรือพื้นดินแข็งน้ำค่อนใสมีกระแสน้ำไหลไม่แรงนักพบอยู่ในระดับความลึกตั้งแต่ 2-40 เมตร  ทั้งยังชอบอาหารบริเวณที่น้ำจากต้นน้ำเหนือเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำไหลมาบรรจบกับบริเวณแนวน้ำนิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณปากน้ำซึ่งมีน้ำจืดไหลปะทะกับแนวน้ำเค็ม  มีกุ้ง  ปลา  ปู  หอย  ค่อนข้างสมบูรณ์  ชาวประมงมักจับปลากดเหลืองสามารถที่จะปรับตัวให้เจริญโตได้ดีในสภาพน้ำพรุที่มีความเป็นกรดสูงและมีปริมาณสารแขวนลอยมาก
 
  รูปร่างลักษณะ  
  ปลากดเหลืองเป็นปลาน้ำจืดที่ไม่มีเกล็ด  ลำตัวกลมยาว  หัวค่อนข้างแบนและเรียวเป็นรูปกรวย(conical) กระดูกท้ายทอยยาวถึงโคนครีบหลัง ตาไม่มีหนังปกคลุม  ปากกว้าง  ขากรรไกรแข็งแรง  มีฟันซี่เล็กๆสั้นปลายแหลมเป็นกลุ่มหรือแผ่นบนขากรรไกรบน  ขากรรไกรล่างและบนเพดานปากซี่กรองสั้นเล็กปลายแหลม  มี 15 ซี่  มีหมวด 4 คู่คือที่บริเวณจมูก  ริมฝีปากบน  ริมฝีปากล่าง  และใต้คางอย่างละ 1 คู่  ซึ่งหนวดคู่แรกและหนวดคู่สุดท้ายจะมีความยาวสั้นกว่าคู่ที่สองและคู่ที่สาม
            ครีบหลังไม่สูงเป็นครีบเดี่ยวอยู่กลางหลัง  มีก้านครีบแข็ง 1 ก้านและก้านครีบอ่อน 7 ก้าน  ครีบไขมันเจริญดีอยู่บนหลังตามหลังตามส่วนท้ายของลำตัว  และอยู่ตรงข้ามกับครีบก้น  ครีบก้นมีก้านครีบอ่อน 10-11  ก้าน    ครีบหูเป็นครีบคู่อยู่หลังบริเวณเหงือก  มีเงี่ยงแข็งและแหลมคม 1 คู่  มีก้านครีบอ่อนข้างละ 9 ก้าน  ครีบท้องมีก้านครีบอ่อน 6-7 ก้าน  ครีบหางเว้าลึกแฉกบนยาวกว่าแฉกล่างประกอบด้วยก้านครีบอ่อน 16-17 ก้าน

              ลักษณะสีของลำตัวจะเปลี่ยนไปตามอายุ  ขนาด  และแหล่งที่อยู่อาศัยปลากดเหลืองที่มีขนาดโตเต็มวัย  ลำตัวบริเวณส่วนหลังมีสีน้ำตาลเข้มปนดำ  บริเวณข้างลำตัวมีสีน้ำตาลปนเหลือง  บริเวณท้องมีสีขาว  ฐานครีบอก  ครีบท้อง ครีบก้น  มีสีเทาเจือชมพู  ครีบหลัง  ครีบหางมีสีเขียวซีดจาง  ปลายครีบมีสีเทาปนดำ  ดวงตามีขนาดปานกลาง
               ปลากดเหลืองที่พบโดยทั่วไปมีขาด 20-25 เซนติเมตร  แต่เคยพบขนาดใหญ่สุดกว่า 60 เซนติเมตร  ปลาชนิดนี้มีกระเพาะลม  ซึ่งมีลักษณะกระเพาะลมตอนเดียวคล้ายรูปหัวใจทำหน้าที่ช่วยในการทรงตัวใช้ปรับความถ่วงจำเพาะของตัวปลาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย  เพื่อให้สามารถลอยตัวอยู่มนระดับต่างๆได้ตามความต้องการ

  การสืบพันธุ์    1.  ลักษณะความแตกต่างระหว่างปลากดเหลืองเพศผู้กับเพศเมียมีดังนี้

ลักษณะตัวผู้
ลักษณะตัวเมีย
      1.  ลำตัวจะมีลักษณะเรียงยาว
     1.  ลำตัวจะมีลักษณะป้อมสั้น
     2. อวัยวะเพศที่เรียกว่า genital papillae  ยื่นออกมาประมาณ 1 เซนติเมตรจะมีลักษณะเป็นติ่งเรียวยาวและแหลมตอนปลาย
     2.  อวัยวะเพศมีลักษณะเป็นรูกลม
  3. ในฤดูผสมพันธุ์  เมื่อรีดจากส่วนท้องจะมีน้ำเชื้อไหลออกมาลักษณะสีขาวขุ่น
    3.ในฤดูผสมพันธุ์จะมีส่วนท้องบวมเป่งนูนออกมาทางด้านข้างทั้งสองข้างและช่องเพศมีสีชมพูเรื่อๆ
              
              ปริมาณความดกของไข่ขึ้นกับขนาดของแม่ปลากดเหลือง ปลาเพศเมียที่พบเริ่มมีไข่แก่และสืบพันธุ์วางไข่ได้มีความยาวตั้งแต่ 18 เซนติเมตรขึ้นไป  ความยาวเฉลี่ย  28.56 เซนติเมตร  ส่วนปลาเพศผู้ความยาวเฉลี่ย  28.56 เซนติเมตร
                 แม่ปลาขนาดความยาว 18 เซนติเมตร  มีไข่ประมาณ 12,500 ฟอง
                 แม่ปลาขนาดความยาว 30 เซนติเมตร  มีไข่ประมาณ 40,000 ฟอง

   อัตราการปล่อยพ่อแม่พันธุ์     อัตราส่วนการปล่อยพ่อแม่พันธุ์ปลากดเหลืองเท่ากับอัตรา 1 ตัว/1 ตารางเมตร  โดยจะปล่อยแยกเพศหรือรวมเพศก็ได้

 ฤดูกาลวางไข่     ปลากดเหลืองสามารถวางไข่ได้เกือบตลอดทั้งปี  ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนตุลาคมของทุกปีในแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับภาคใต้ตอนล่างฤดูผสมพันธุ์วางไข่อยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนพฤศจิกายน   เป็นที่น่าสังเกตว่า  ฤดูกาลวางไข่ของปลากดเหลืองจะแตกต่างกันไปตามสภาพและที่ตั้งของพื้นที่  เช่น
·       อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์  ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนของทุกปี
·       แม่น้ำบางปะกงอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน
·       เขื่อนศรีนครินทร์  ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน
·       เขื่อนบางลาง  จังหวัดยะลา  ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม
อนึ่ง  ปัจจัยที่เป็นตัวควบคุมความสุกแก่ของรังไข่  ได้แก่  ปริมาณน้ำฝนที่ตกในแต่ละช่วงของรอบปี
 การพัฒนาไข่ปลากดเหลือง   ไข่ปลากดเหลืองเป็นไข่จมและติดกับวัตถุ  เมื่อสัมผัสกับน้ำจะมีสารเมือกเหนียวที่รอบเปลือกไข่ ทำให้ไข่ปลาติดกับวัตถุหรือไข่ติดกันเป็นกลุ่มก้อนไข่แก่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 0.82  มิลลิเมตร  ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิจะขยายขึ้นเป็นขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร  มีลักษณะกลม  สีเหลืองใสสด  ส่วนไข่ที่ไม่ได้รับการผสมจะมีสีขาวขุ่นหรือบิดเบี้ยว   การพัฒนาไข่ปลากดเหลืองเป็นตัว  ที่อุณหภูมิ 26-28 องศาเซลเซียส ภายในเวลา 30 ชั่วโมง  เมื่อมีอายุย่างเข้าวันที่4 ลักษณะลำตัวและครีบต่างๆเริ่มคล้ายกับปลาเต็มวัย  ลูกปลามีขนาดประมาณ 0.8 เซนติเมตร  ลูกปลาอายุ 10 วัน  มีความยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร

  นิสัยการกินอาหาร
              ปลากดเหลืองมีกระเพาะอาหารที่มีลักษณะเป็นถุงตรงยาว  ผนังหนาสีขาวขุ่น  นิสัยการกินอาหารในธรรมชาติได้แก่  ปลาขาดเล็ก  ตัวอ่อนแมลงหรือแมลงในน้ำ  กุ้งน้ำจืด  เศษพันธุ์ไม้น้ำ  และหอยฝาเดียว  เป็นต้น  จากลักษณะรูปร่างที่ปราดเปรียวของปลากดเหลือง  พบว่า  จะโฉบจับเหยื่อที่อยู่ผิวน้ำหรือกลางน้ำได้อย่างว่องไว  โดยจะหากินในช่วงกลางคืนได้ดีกว่าช่วงกลางวัน

  การเพาะพันธุ์
              ปลากดเหลืองที่ใช้ในการเพาะพันธุ์ส่วนใหญ่ได้จากการรวบรวมพันธุ์จากแหล่งน้ำธรรมชาติ  เช่น  แม่น้ำ  ลำคลอง  หรืออ่างเก็บน้ำต่างๆ โดยคัดเลือกพันธุ์ปลาที่แข็งแรง  อวัยวะทุกอย่างครบสมบูรณ์  ขนาดไม่ต่ำกว่า 400 กรัม  นำมาเลี้ยงเป็นพ่อแม่ปลาได้ทั้งในบ่อดินและกระชัง  แต่ควรแยกเพศปลาตัวผู้และตัวเมียออกจากกัน
                บ่อดิน   ควรมีขนาด  800-1,600 ตารางเมตร  อัตราการปล่อยปลา 1-2 ตัวต่อตารางเมตร
                กระชัง  ควรเป็นกระชังอวนโพลี  ขนาดตา 2-3 เซนติเมตร  ขนาดกระชังกว้าง 5 เมตร ยาว 5 เมตร  ลึก 2.5 เมตร  อัตราการปล่อยปลา 50-100 ตัว ต่อกระชัง
         การขุนเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์  ให้อาหารจำพวก  ปลาสดสับผสมหัวอาหารและเสริมด้วยอาหารเม็ดปลาดุก  หรือให้อาหารต้มสุกจำพวกปลายข้าว 2 ส่วน รำละเอียด 3 ส่วน  ปลาป่น 1 ส่วน  วิตามินและแร่ธาตุประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์  โดยน้ำหนัก  เสริมด้วยอาหารเม็ดปลาดุกเล็ก 1 ครั้ง  ต่อสัปดาห์  ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละวันประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักปลา  ควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ในบ่อประมาณ 1-2 ครั้ง ต่อเดือนปริมาณ 1 ใน 3 ของบ่อ

  การคัดเลือกพ่อแม่ปลา
               การตรวจสอบพ่อแม่ปลาที่มีความสมบูรณ์ควรทำด้วยความระมัดระวังอาจใช้ผ้าขนหนูปิดหัวปลา  โดยเฉพาะบริเวณตาของพ่อแม่ปลา  แล้วหงายท้องตรวจความพร้อมของปลา  จะป้องกันการบอบช้ำ  และลดความเครียดได้  ปลาเพศเมียที่มีไข่แก่  สังเกตจากส่วนท้องจะบวมเป่งและนิ่ม  ช่องเพศมีสีชมพูเรื่อๆปลาเพศผู้  อวัยวะเป็นติ่งแหลมยื่นยาวออกมาไม่ต่ำกว่า 1 เซนติเมตร

                พ่อแม่ปลาที่ใช้ควรมีน้ำหนักตั้งแต่ 450 กรัม  หรือเป็นปลาที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 เดือนขึ้นไป  โดยปกติแล้วแม่พันธุ์ปลาจะมีน้ำหนักมากกว่าพ่อแม่พันธุ์ปลา

  การฉีดฮอร์โมนผสมเทียม

             ฮอร์โมนที่ใช้ในการฉีดเร่งให้แม่ปลามีไข่แก่  และพ่อปลามีน้ำเชื้อสมบูรณ์ปัจจุบันนิยมใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ (synthetic  hormore, LHR Ha)  ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า  ซูพรีแฟค (Suprefact) ร่วมกับสารระงับการทำงานของระบบหลั่งฮอร์โมนคือ  โดมเพอริโดน (Domperidone) หรือมีชื่อทางการค้าว่าโมทีเลียม (Motilium)


             โดยฉีดกระตุ้นทั้งเพศผู้และเพศเมียในเพศเมียฉีดเข็มแรกในอัตรา 5-7 ไมโครกรัมและยาเสริมฤทธิ์ 5  มิลลิกรัมต่อแม่ปลาน้ำหนัก 1 กิโลกรัม  เข็มที่สอง ห่างจากเข็มแรก 6 ชั่วโมง  ในอัตรา 15-20 ไมโครกรัม  และยาเสริมฤทธิ์ 5 มิลลิกรัมต่อแม่ปลาน้ำหนัก 1 กิโลกรัม  ส่วนปลาเพศผู้ฉีดในอัตรา 5 ไมโครกรัม  และยาเสริมฤทธิ์ 5 มิลลิกรัม  ต่อพ่อปลาน้ำหนัก 1 กิโลกรัม
              ทั้งนี้แม่ปลาพร้อมที่จะรีดไข่ผสมน้ำเชื้อหลังจากฉีดน้ำยาเข็มที่ 2 ประมาณ 6-8 ชั่วโมง  ถ้าหากปลาเพศผู้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์เพศเต็มที่ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดฮอร์โมนกระตุ้นก็ได้

  ตำแหน่งที่ฉีดฮอร์โมน
               การฉีดฮอร์โมนปลากดเหลืองนั้น  ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือ  บริเวณกล้ามเนื้อใต้ครีบหลังส่วนต้นเหนือเส้นข้างตัว  โดยใช้เข็มเบอร์ 24 แทงเข็มเอียงทำมุมกับลำตัวประมาณ 30 องศา  แทงลึกประมาณ 1 นิ้ว ( 2 เซนติเมตร )
การรีดไข่ผสมน้ำเชื้อ
             ก่อนการรีดไข่ปลากดเหลืองเพื่อผสมกับน้ำเชื้อจะต้องเตรียมวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ในการฟักไข่ให้พร้อม  ได้แก่  กะละมังเคลือบที่เช็ดแห้งสนิท  คีมคีบผ้าขาวบาง  ขนไก่  และอวนมุ้งไนลอนตาถี่สีฟ้า  หรือ  กระชังผ้าโอลอนแก้วสำหรับฟักไข่ ฯลฯ

              การรีดไข่โดยจับแม่ปลาให้แน่นพร้อมทั้งเช็ดลำตัวให้แห้ง  รีดไข่ใส่กะละมังพร้อมกันนี้ผ่าเอาถุงน้ำเชื้อจากพ่อปลา  ใช้คีมคีบถุงน้ำเชื้อออกมาขยี้ในผ้าขาวบางให้น้ำเชื้อไหลลงไปผสมกับไข่  ใช้ขนไก่คนให้ไข่กับน้ำเชื้อผสมเข้ากันอย่างทั่วถึงในขั้นตอนนี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว  และรีบนำไข่ที่ผสมแล้วไปฟัก  โดยโรยบนอวนมุ้งไนลอนตาถี่สีฟ้า  หรือบนกระชังผ้าโอลอนแก้ว  ในระดับน้ำลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร  การโรยไข่ปลาพยายามให้ไข่กระจายอย่าทับซ้อนกันเป็นก้อนเปิดน้ำไหลผ่านตลอดเวลาและมีเครื่องเพิ่มอากาศใส่ไว้ในบ่อฟักไข่ปลาด้วย

  การฟักไข่
               ไข่ปลากดเหลืองเป็นไข่ติด  ไข่ที่ดีซึ่งได้รับการผสมควรมีลักษณะกลมมีสีเหลืองสดใสและพัฒนาฟักออกเป็นตัว  โดยใช้เวลาประมาณ 27-30 ชั่วโมง  ที่อุณหภูมิของน้ำ 26-28 องศาเซลเซียส  ถุงอาหาร (yolk sac) จะยุบตัวหมดในเวลา 3 วัน  หลังจากนั้นลูกปลาจะเริ่มกินอาหาร
               บ่อเพาะฟักลูกปลากดเหลืองควรมีหลังคาคลุมบังป้องกันแสงแดดและน้ำฝนได้

  การอนุบาลลูกปลาวัยอ่อน
               นำลูกปลาวัยอ่อนที่ฟักออกเป็นตัวใหม่ๆ  ไปอนุบาลในบ่อซีเมนต์ขนาด 50 ตารางเมตร  ระดับน้ำลึก 20-30 เซนติเมตร  สามารถอนุบาลลูกปลาได้ 50,000-100,000 ตัว  หรือ 1,000-2,000 ตัว/ตารางเมตร  ให้ออกซิเจนตลอดเวลา
              อาหารลูกปลา  ในสัปดาห์แรกเป็นอาหารที่มีชีวิต  ได้แก่  ไรแดงหรือ  อาร์ทีเมีย  จนกระทั่งลูกปลามีอายุ 8-10 วัน  จึงเริ่มฝึกให้กินอาหารสมทบ  ได้แก่  เนื้อปลาบดผสมวิตามินและแร่ธาตุ  ส่วนปริมาณการให้อาหารจะให้น้อยๆแต่บ่อยครั้ง  ในระยะนี้อาจผสมยาปฎิชีวนะกับอาหารในอัตรา 3 กรัม/อาหาร  1 กิโลกรัม  เพื่อป้องกันโรคพวกแบคทีเรีย  โดยให้วันละ 1 ครั้ง  ติดต่อกัน 5-7 วัน
             ระดับน้ำ  ในบ่ออนุบาลลูกปลาวัยอ่อนระยะแรกประมาณ  20-30 เซนติเมตรและค่อยๆ  เพิ่มปริมาณน้ำเป็น 50 เซนติเมตร เมื่อเริ่มให้อาหารสมทบจำพวกเนื้อปลาบด  และส่วนผสม  ทั้งนี้  การทำความสะอาดพื้นบ่อเป็นสิ่งจำเป็นมาก  โดยดูดตะกอนพื้นบ่อ  เปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณ 1 ใน 3 ของบ่อ  และเพิ่มประมาณน้ำให้เท่าเดิมในช่วงนี้
               การป้องกันโรค  ควรใส่ฟอร์มาลินในความเข้มข้น 40 พีพีเอ็ม  แช่ตลอด 24 ชั่วโมง  สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
               การคัดขนาด  เมื่ออนุบาลลูกปลามีอายุ 8-10 วัน  จะเริ่มขนาดต่างกันจึงต้องหมั่นคัดขนาดลูกปลาเพื่อช่วยลดการกินกันเอง  และระยะเวลา 45 วัน  จะได้ลูกปลาขนาด 1.5-2.0 นิ้ว
  การอนุบาลลูกปลาในบ่อซีเมนต์
               จากการอนุบาลปลากดเหลืองขนาดความยาว 3-4 เซนติเมตร  อัตราการปล่อย 50 ตัว/ตารางเมตร  ในบ่อซีเมนต์ 

              พบว่า  ลูกปลาที่ได้รับอาหารกุ้งเบอร์ 2  มีอัตราการเจริญเติบโตและอัตรารอดตายดีที่สุด  เมื่อเทียบกับอาหารปลาดุก (โปรตีน 31 เปอร์เซ็นต์) และเนื้อปลาสับ (โปรตีน 10 เปอร์เซ็นต์)  คือลูกปลามีขนาดความยาว 5-8 เซนติเมตร  ภายใน 7 สัปดาห์

  การอนุบาลลูกปลาในบ่อดิน
             บ่อดินที่ใช้อนุบาลลูกปลา ต้องมีการกำจัดศัตรูของลูกปลาก่อน และพื้นบ่อควรเรียบสะอาด  ปราศจากพืชพรรณไม้น้ำต่างๆ  ควรมีร่องขนาดกว้าง 0.5-1.0 เมตร  ยาวจากหัวบ่อจรดท้ายบ่อ  และลึกจากพื้นบ่อประมาณ 20 เซนติเมตร


              เพื่อความสะดวกในการรวบรวมลูกปลาตรงปลายร่องมีแอ่งลึก  พื้นที่ประมาณ 2-4 ตารางเมตรเป็นแหล่งรวบรวมลูกปลา  ลูกปลากดเหลืองอายุ 12-15 วัน  ขนาด 1-1.5 เซนติเมตร  บ่อขนาด  800 ตารางเมตร  ระดับน้ำลึก 0.50-0.80 เมตร  อัตราการปล่อยอนุบาลบ่อละ 50,000-70,000 ตัว  ให้อาหารผสมได้แก่  เนื้อปลาบด 80 เปอร์เซ็นต์  อาหารผง (powder food)  19.6 เปอร์เซ็นต์  วิตามินและแร่ธาตุ 0.4 เปอร์เซ็นต์  ปั้นเป็นก้อนเล็กๆโยนให้ลูกปลาในบ่อกินวันละ 2 ครั้ง  เช้าและเย็น  โดยปรับปริมาณอาหารที่ให้ทุกสัปดาห์เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนลูกปลา  นอกจากนี้อาจผสมน้ำมันปลาหมึกในอาหารจะช่วยดึงดูดลูกปลาให้กินอาหารได้ดีขึ้น  เมื่อลูกปลาอายุประมาณ 15 วัน  จะมีขนาด 4.5-5.0 เซนติเมตร

  การเลี้ยงปลาขนาดตลาด
                การเลี้ยงปลากดเหลืองให้ได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการนั้นสามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อดินและกระชัง
1.   การเลี้ยงในบ่อดิน  ควรปรับสภาพบ่อโดยใช้หลักการเตรียมบ่อเลี้ยงปลาทั่วๆไปดังนี้
  1.1   ตากพื้นบ่อให้แห้งพร้อมทั้งปรับสภาพก้นบ่อให้สะอาด
      1.2   ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพของดินโดยใส่ปูนขาวในอัตราประมาณ 60-100 กิโลกรัม/ไร่
      1.3   ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติสำหรับลูกปลาควรใส่ปุ๋ยคอกในอัตราประมาณ 60-100 กิโลกรัม/ไร่
      1.4 นำน้ำเข้าบ่อโดยกรองไม่ให้ศัตรูของลูกปลา  ติดเข้ามากับน้ำระดับน้ำลึก 30-40 เซนติเมตร  วันรุ่งขึ้นจึงปล่อยปลาและเพื่อให้ลูกปลามีอาหารกิน  ควรเติมไรแดงในอัตราประมาณ 5 กิโลกรัม/ไร่  หลังจากนั้นจึงให้อาหารผสมแก่ลูกปลา  ก่อนที่จะนำลูกปลามาเลี้ยงควรตรวจดูด้วยว่าเป็นลูกปลาที่มีสุขภาพดีและแข็งแรง

               การปล่อยลูกปลา ลงบ่อเลี้ยงจะต้องปรับสภาพอุณหภูมิของน้ำ ในถุงและน้ำในบ่อให้เท่าๆกันก่อน  โดยแช่ถุงบรรจุลูกปลาในน้ำประมาณ 30 นาทีจึงปล่อยลูกปลา  เวลาที่เหมาะสมในการปล่อยลูกปลาควรเป็นเวลาตอนเย็นหรือตอนเช้า
               การเลี้ยงปลากดเหลืองในบ่อดินขนาด 2 ไร่จำนวน 2 บ่อ  ของเกษตรกรกิ่งอำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา  ในอัตราการปล่อยปลาขนาดความยาว 15.0-17.0 เซนติเมตร  น้ำหนักระหว่าง 22-42 กรัม  ตารางเมตรละ 1 ตัวหรือ  ไร่ละ 1,600 ตัว  โดยให้อาหารจำพวกปลาเป็ดสับผสมวิตามินและแร่ธาตุ ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 7 เดือน  จึงจับปลาจำหน่าย  ได้น้ำหนักปลาทังสิ้น 2,125 กิโลกรัม  เป็นผลผลิตไร่ละ 1,062.5 กิโลกรัม  น้ำหนักตัวระหว่าง 400-500 กรัม  (ประมาณ 2.40 ตัว/กิโลกรัม)  ได้ปลา 5,110 ตัว  อัตราการรอดตาย 79.82 เปอร์เซ็นต์  โดยใช้ปริมาณอาหารทั้งหมด 9,562 กิโลกรัม  มีอัตราแลกเนื้อ (FCR) เท่ากับ 2 : 4.5  ดังตารางต่อไปนี้

  ตารางที่ 1   การเลี้ยงปลากดเหลืองในบ่อดินของเกษตรกรจังหวัดสงขลา

บ่อ
จำนวนที่ปล่อย (ตัว)
น้ำหนักเริ่มปล่อย(ตัว)
จำนวนปลาที่เหลือ(ตัว)
อัตราการรอด(%)
น้ำหนักเฉลี่ย(กรัม)
น้ำหนักรวม(กิโลกรัม)
3,200
3,200
15.41
15.80
2,548
2,760
73.38
86.25
419.50
413.00
985
1,140
เฉลี่ย
3,200
15.60
2,654
76.80
416.25
1,062.5
ที่มา  :  สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดสงขลา ,2537
            2. การเลี้ยงปลารุ่นในกระชัง สถานีประมงน้ำจืดจังหวัดสงขลาได้ทำการเลี้ยงปลากดเหลืองให้เป็นปลารุ่นในกระชังตาข่ายพลาสติก  ขนาด 2 ´3 ´1.5 เมตร  ปลาความยาวเฉลี่ย 7.17  เซนติเมตร  น้ำหนักเฉลี่ย 3.14 กรัม  อัตราการปล่อย 300 ตัว/กระชัง
            เปรียบเทียบอาหารเนื้อปลาสดสับกับอาหารเม็ดปลากินเนื้อในระยะเวลา 6 เดือน  พบว่า  ปลาที่เลี้ยงด้วยเนื้อปลาสดสับ  มีอัตราการเจริญเติบโตดีมาก  คือ  มีน้ำหนักเฉลี่ย 83.87  กรัม  อัตราการรอดตาย  73.79 เปอร์เซ็นต์  อัตราแลกเนื้อ 4.98  คิดเป็นต้นทุนอาหาร  24.90 บาท/กิโลกรัม (ปลาสดราคากิโลกรัมละ 5 บาท)
           ในขณะที่การเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดปลากินเนื้อ  ปลาที่เลี้ยงมีน้ำหนักเฉลี่ย 72.61 กรัม  อัตราการรอดตาย 59.29 เปอร์เซ็นต์  อัตราแลกเนื้อ 2.76 คิดเป็นต้นทุนอาหาร 33.12 บาท/กิโลกรัม (อาหารเม็ดปลากินเนื้อราคากิโลกรัมละ 12 บาท)
             3.  การเลี้ยงปลาในกระชัง  การเลี้ยงปลากดเหลืองในกระชังโดยที่ตัวกระชังทำด้วยตาข่ายพลาสติกขนาดกระชัง 3 ´4 ´1.8 เมตร  ปล่อยปลาขนาด 200-250 กรัม  จนถึงขนาดตลาด  อัตราปล่อย 1,000ตัว/กระชัง  ให้ปลาเป็ดและส่วนผสมอื่นๆเป็นอาหารวันละ 1 ครั้ง  ใช้เวลาเลี้ยง 4 เดือน  ผลปรากฏว่าปลาเจริญเติบโตมีน้ำหนักเฉลี่ย 540 กรัม/ตัว  อัตรารอดตาย 82.0 เปอร์เซ็นต์  ผลผลิต 462.38 กิโลกรัม/กระชัง
            ข้อควรคำนึงในการเลี้ยงปลากดเหลืองให้ได้ขนาดที่ตลาดต้องการนั้น  ถ้าเลี้ยงในบ่อดิน  พันธุ์ปลาที่ปล่อยควรเริ่มที่ขนาด 5-7 เซนติเมตร  อัตราการปล่อยตารางเมตรละ 1-2 ตัว  ส่วนการเลี้ยงในกระชังควรปล่อยปลาตารางเมตรละ 50-70 ตัว  และควรหมั่นคัดขนาดปลาให้สม่ำเสมอกันด้วย

  ต้นทุนและผลตอบแทน
                การเลี้ยงปลากดเหลืองในบ่อดิน  จากปลาขนาดความยาวระหว่าง 15 –17 เซนติเมตร  หรือน้ำหนักเฉลี่ย 32 กรัม/ตัว  โดยให้ปลาเป็ด  ไส้ไก่  วิตามินและแร่ธาตุเป็นอาหาร  พบว่าในระยะเวลา 7 เดือน  ได้ผลผลิตปลาขนาดเฉลี่ย 2.4 ตัว/กิโลกรัม  ไร่ละประมาณ 1,062.50 กิโลกรัม  คิดเป็นรายได้ 63,750 บาท  โดยมีต้นทุนที่เป็นเงินสด 32,377.50 บาท/ไร่ ต้นทุนรวมทั้งสิ้นไร่ละ 49,125.02 บาท รายได้เหนือต้นทุนที่เป็นเงินสด 32,377.50 บาท/ไร่  มีกำไรสุทธิไร่ละ  14,625 บาท  และคิดเป็นผลตอบแทนต่อการลงทุนประมาณ 29.77 เปอร์เซ็นต์  ดังตารางที่ 2
 ตารางที่ 2   รายได้และต้นทุนการเลี้ยงปลากดเหลืองในบ่อดิน  จังหวัดสงขลา  ปี 2536


รายการ
เงินสด
          ไม่เป็นเงินสด
                  รวม
รายได้(บาท,1,062.5 กก.´ 60 บ./กก.)
-
63,750.00
ต้นทุนผันแปร(บาท/ไร่)
31,372.50
15,328.03
46,700.53
-  ค่าพันธุ์ปลา
4,800.00
-
4,800.00
-  ค่าอาหารปลา
24,562.50
2,230.00
26,792.50
-  ค่าปุ๋ยและปูนขาว
1,120.00
100.00
1,220.00
-  ค่ายาป้องกันรักษาโรค
320.00
-
320.00
-  ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง
350.00
-
350.00
-  ค่าขนส่ง
220.00
-
220.00
-  ค่าแรงงาน
-
12,000.00
12,000.00
-  ค่าเสียโอกาสการลงทุน
-
1,098.03
1,098.03
-  ค่าเสื่อมบ่อปลา
-
2,424.99
2,424.49
-  ค่าเสื่อมอุปกรณ์ฟาร์ม
-
470.00
470.00
-  ค่าเสียโอกาสเงินลงทุน สร้างบ่อ/อุปกรณ์
-
81.99
81.99
ต้นทุนทั้งหมด
31,372.50
17,753.02
49,125.02
รายได้สุทธิ
+17,049.47
กำไร(บาท/ไร่)
+14,624.98
ที่มา  :  สุขาวดี  และศราวุธ, 2537
              ขนาดกระชัง 3 ´4 ´ 1.8 เมตร  ปล่อยปลารุ่นอายุ 4 เดือน  ในระยะเวลา 120 วัน  ได้ผลผลิต 462.38 กิโลกรัม  คิดเป็นรายได้ 16,402.63 บาท  รายได้สุทธิ 12,322.78 บาท  รายได้เหนือต้นทุนที่เป็นเงินสด  13,919.25 บาท  กำไรสุทธิ  11,340.17 บาท  คิดเป็นผลตอบแทนต่อการลงทุน 69.14 เปอร์เซ็นต์  ดังตารางที่ 3
 
 ตารางที่ 3   รายได้และต้นทุนการเลี้ยงปลากดเหลืองในกระชัง  จังหวัดสงขลา  ปี 2536
รายการ
            เงินสด
      ไม่เป็นเงินสด
             รวม
รายได้(บาท)
27,742.80
ต้นทุนผันแปร(บาท/กระชัง)
13,823.55
1,596.47
15,420.02
-  ค่าพันธุ์ปลา
3,000.00
-
3,000.00
-  ค่าอาหารปลา
10,283.55
120.00
10,403.55
-  ค่ายาป้องกันรักษาโรค
420.00
-
420.00
-  ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง/ขนส่ง
120.00
-
120.00
-  ค่าแรงงาน
-
1,200.00
1,200.00
-  ค่าเสียโอกาสลงทุน
-
276.47
276.47
-  ต้นทุนคงที่(บาท/กระชัง)
-
982.61
982.61
-  ค่าเสื่อมกระชัง
-
833.34
833.34
-  ค่าเสื่อมอุปกรณ์ฟาร์ม
-
130.00
130.00
-  ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนสร้างกระชัง/อุปกรณ์
-
19.27
19.27
ต้นทุนทั้งหมด
13,823.55
2,579.08
16,402.63
รายได้สุทธิ(บาท/กระชัง)
+12,322.78
รายได้เหนือต้นทุน
ที่เป็นเงินสด(บาท/กระชัง)
+13,919.25
กำไร(บาท/กระชัง)
+11,340.17
ที่มา  :  สุขาวดี  และศราวุธ, 2537
  โรคและการป้องกัน
             โรคปลาที่พบได้ในปลากดเหลืองเกิดจากสาเหตุหลายปัจจัย  เช่น  การติดเชื้อพยาธิภายนอก  การติดเชื้อพยาธิภายใน  การติดเชื้อแบคทีเรีย  การติดเชื้อราและน้ำที่เลี้ยงเป็นพิษ เป็นต้น  การดำเนินการรักษาและป้องกันจึงเป็นวิธีการแก้ไขที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง  แต่ต้องใส่สารเคมี  หรือยารักษาให้ถูกต้องกับชนิดของโรคดังนี้
        โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก
              1.  โรคจุดขาว   (Ichthyopthirius  :  “ Ich”) ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีจุดสีขาวขุ่นเท่าหัวเข็มหมุดเล็กๆกระจายอยู่ที่ลำตัวและครีบ
             สาเหตุ  ของโรคจุดขาว  คือ  โปรโตซัว  ชนิดที่กินเซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร  เมื่อพยาธิโตเต็มที่จะออกจากตัวปลาโดยจมตัวลงสู่บริเวณก้นบ่อปลาและสร้างเกราะหุ้มตัว  ต่อจากนั้นจะมีการแบ่งเซลล์เป็นตัวอ่อนจำนวนมากภายในเกราะนั้น  เมื่อสภาวะแวดล้อมภายนอกเหมาะสม  เกราะหุ้มตัวจะแตกแยกและตัวอ่อนของพยาธิจะว่ายน้ำเข้าตามผิวหนังของปลาต่อไป
             การป้องกันและการรักษา  ยังไม่มีวิธีกำจัดปรสิตที่ยังอยู่ใต้ผิวหนังที่ได้ผลเต็มที่  แต่วิธีการที่ควรทำ  คือ  การทำลายตัวอ่อนในน้ำหรือทำลายตัวแก่ขณะว่ายน้ำอิสระ  โดยการใช้สารเคมีดังต่อไปนี้
                1.   ฟอร์มาลิน  150-200 ซีซี.  ต่อน้ำ  1,000 ลิตร  แช่ไว้นาน 1 ชั่วโมง  สำหรับปลาขนาดใหญ่
                2.  มาลาไค้ท์กรีน 1.0-1.25 กรัมต่อน้ำ  1,000 ลิตร  แช่ไว้นานครึ่งชั่วโมงสำหรับปลาขนาดใหญ่หรือ  0.15 กรัมต่อน้ำ  1,000 ลิตร  แช่ไว้นาน 24 ชั่วโมง  หรือเมทธิลีนบูล 1-3 กรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร  แช่ติดต่อกัน 7 วัน
                3.  มาลาไค้ท์กรีนและฟอร์มาลิน  ในอัตราส่วน 0.15 กรัมและ 25 ซีซี.  ต่อน้ำ 1,000 ลิตร  นาน 24 ชั่วโมง  แช่ติดต่อกันประมาณ 7 วัน  ควรเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวันและแช่ยาวันเว้นวันจนกระทั่งปลามีอาการดีขึ้น  วิธีนี้จะได้ผลดีมาก
              
            2. โรคพยาธิปลิงใส  (Gyrodactylus)   ปลาที่มีพยาธิปลิงใสเกาะจะมีอาการว่ายน้ำทุรนทุรายลอยตัวตามผิวน้ำ  ผอม  กระพุ้งแก้ม  เปิดปิดกว่าปกติ  อาจมีแผลขนาดเล็กเท่าปลายเข็มหมุดกระจายอยู่ทั่วลำตัว  ถ้าเป็นการติดโรคในขั้นรุนแรง  อาจมองเห็นเหมือนกับว่า  ปลามีขนสั้นๆ สีขาวกระจายอยู่ตามลำตัว  ซึ่งอาจทำให้ปลาตายได้   โดยเฉพาะลูกปลาที่เริ่มปล่อยลงบ่อดินใหม่ๆควรระมัดระวังโรคนี้ให้มาก
  การป้องกันและรักษา
              1.  ใช้ฟอร์มาลินจำนวน 25-40 ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร  แช่นาน 24 ชั่วโมง
              2.  ใช้ดิพเทอร์เร็กซ์จำนวน 0.25-0.5 กรัมต่อน้ำ  1,000 ลิตร  แช่นาน 24 ชั่วโมง
 
  โรคที่เกิดจากพยาธิภายใน

                            1.  โรคพยาธิใบไม้(pleurogenoides)

             พยาธิใบไม้ที่ทำให้เกิดโรคปลานั้นพบทั้งขณะที่เป็นตัวเต็มวัยแล้วและตัวอ่อน ตัวเต็มวัยของพยาธิใบไม้พบได้ในทางเดินอาหารภายในช่องท้องไม่ค่อยทำอันตรายต่อปลาเท่าใดนัก  ต่างกับตัวอ่อนซึ่งฝังตัวอยู่บริเวณเหงือกและอวัยวะภายในต่างๆ  ทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อของเหงือกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลูกปลาที่เป็นโรคนี้จะมีอาการกระพุ้งแก้มเปิดอ้าอยู่ตลอดเวลา  ว่ายน้ำทุรนทุรายลอยตัวที่ผิวน้ำ  ผอม  เหงือกบวม  อาจมองเห็นจุดขาวๆ  คล้ายเม็ดสาคู  ขนาดเล็กเป็นไตแข็งบริเวณเหงือกและปลาจะทยอยตายเรื่อยๆ ปลาหลายชนิดในแหล่งน้ำธรรมชาติอาจพบพยาธิใบไม้เต็มวัยได้
            การป้องกันและรักษา
                1.  ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยคอก  เพราะอาจจะมีไข่ของพยาธิใบไม้ติดมา  ถ้าหากจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยคอก  ควรตากให้แห้งเป็นอย่างดีก่อนจึงจะนำมาใช้พร้อมทั้งกำจัดหอย  ซึ่งเป็นตัวช่วยเสริมการระบาดของพยาธิชนิดนี้อย่างครบวงจร  โดยการตากบ่อให้แห้งและโรยปูนขาวให้ทั่วในอัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่  หลังจากจับปลาขึ้นแล้วทุกครั้ง
2.    ยังไม่มีวิธีรักษาหรือจำกัดตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ที่เกาะบนตัวปลา

            2.  โรคจากเชื้อแบคทีเรีย 

                1.  โรคตัวด่าง   เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “ คอลัมนาริส”  ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีแผลด่างขาวตามตัว  และเมื่อเกิดการติดเชื้อเป็นเวลานาน  แผลด่างขาวนี้จะกลายเป็นแผลลึกได้  โรคนี้มักเกิดกับปลาหลังการลำเลียงเนื่องจากอุณหภูมิของอากาศที่สูงทำให้ปลามีความต้านทานลดลง เชื้อแบคทีเรียนี้ก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและทำอันตรายต่อปลา ปลาที่เป็นโรคดังกล่าวจะตายเป็นจำนวนมาก

           การป้องกันและรักษา
                 1.  แช่ปลาในยาเหลือง  อัตราส่วน 2 มิลลิกรัมต่อน้ำ 5 ลิตร  นานประมาณครึ่งชั่วโมง
                 2.ในขณะขนส่งลำเลียงปลาควรใส่เกลือเม็ดในน้ำที่ใช้สำหรับการขนส่งปลาปริมาณ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร
                 3.  ใช้ด่างดับทิมเข้มข้น 2 พีพีเอ็ม แช่ตลอด
                 4.  ใช้ฟอร์มาลินจำนวน 40-50 พีพีเอ็ม  แช่นาน 24 ชั่วโมง
                5.  ในกรณีที่เชื้ออยู่ในกระแสเลือดใช้เทอร์รามัยซิน 5 กรัมต่อ  น้ำหนักปลา 100 กิโลกรัมต่อวัน  ติดต่อกันเป็นเวลา 10-12 วัน
              
                2.  โรคแผลตามตัว   เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Aeromonas  และ  Pseudomonas  ปลาจะมีลักษณะผิวหนังบวมแดงและเริ่มเปื่อยเป็นแผลลึกลงไปจะเห็นกล้ามเนื้อส่วนในปลาขนาดเล็กมักจะทำให้เกิดอาการครีบกร่อน  ทั้งครีบตามลำตัวและครีบหาง

              การป้องกันและรักษา
                 1.  ใช้ยาปฏิชีวนะจำพวกไนไตรฟูราโซนในอัตราส่วน 1-2 มิลลิกรัม  ต่อน้ำ 1 ลิตร  แช่ปลานานประมาณ 2-3 วัน
                2.  แช่ปลาที่เป็นโรคในสารละลายออกซีเตตร้าซัยคลิน  หรือ  เตตร้าไคลินในอัตราส่วน 60-70 มิลลิกรัม  ต่อน้ำ 1 ลิตร  นาน 1-2 วัน  ติดต่อกัน 3-4 ครั้ง
                3.  ถ้าปลาเริ่มมีอาการของโรคอาจผสมยาปฏิชีวนะดังข้อ 1 หรือ 2 ในอัตราส่วน  60-70 มิลลิกรัม  ต่อน้ำหนักปลา 1 กิโลกรัม  หรือ 2-3 กรัม  ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม  นานติดต่อกัน 3-5 วัน
              3.  โรคท้องบวม    อาการของโรคจะเห็นส่วนท้องบวมมากและบางตัวผิวหนังจะเป็นรอยช้ำตกเลือด

              การป้องกันและรักษา
             ให้แช่ปลาในยาปฏิชีวนะออกซีเตตร้าไซคลินในอัตราส่วน 10-20 พีพีเอ็ม  ส่วนการฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยงปลาควรใช้ปูนขาวในอัตราส่วน 10-20 พีพีเอ็ม  ส่วนการฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยงปลาควรใช้ปูนขาวในอัตราส่วน 50-60 กิโลกรัม/ไร่
              เกี่ยวกับสาเหตุของเชื้อโรคชนิดต่างๆซึ่งทำให้เกิดโรคในปลากดเหลืองแล้ว สภาพแวดล้อมที่ปลาอาศัยอยู่ทั้งด้านกายภาพหรือองค์ประกอบด้านเคมีจะเป็นปัจจัยสำคัญซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ปลาอ่อนแอและส่งผลต่อการติดเชื้อโรคดังกล่าวข้างต้น  ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่  ปริมาณออกซิเจนในน้ำความเป็นกรดด่างน้ำ สารพิษในน้ำปริมาณคลอรีนหรือโลหะหนักในน้ำรวมถึงสภาวะอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
            ดังนั้นผู้เลี้ยงปลาจึงควรที่จะศึกษาวิธีการป้องกันและแก้ไขสภาพแวดล้อม ให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของปลาหรือหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้การเลี้ยงปลากดเหลืองมีผลผลิตลดต่ำในที่สุด
 
  ด้านการตลาด
              ปลากดเหลืองขนาด 3-5 ตัว/กิโลกรัม  (ขนาดเฉลี่ย 250 กรัม/ตัว) จำหน่ายให้ผู้รวบรวมหรือบริโภคในท้องถิ่นทางภาคใต้ราคา 40 บาท/กิโลกรัม  ในขณะที่ราคาจำหน่ายปลีกแก่ผู้บริโภคในเขตเมืองระดับราคา 60-80 บาท/กิโลกรัม  สำหรับราคาขายส่งไปยังตลาดต่างประเทศในราคา 100-120 บาท/กิโลกรัม  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของปลา  ปริมาณและความสดของปลาเป็นสำคัญ  ปัจจุบันผลผลิตเกือบทั้งหมดมาจากการจับในแหล่งน้ำธรรมชาติ  หากมีการเลี้ยงเพิ่มขึ้นก็จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้จำหน่าย  และผู้บริโภคปลากดเหลือง
  การกำจัดกลิ่นโคลนในเนื้อปลา
              การเลี้ยงปลากดเหลืองในบ่อดินสร้างป้องกันการเกิดกลิ่นสาปในเนื้อปลาได้โดยก่อนจับปลาขึ้นจำหน่าย  ควรจะย้ายปลามาเลี้ยงในกระชังในแหล่งน้ำที่มีการถ่ายเทดีประมาณ 15 วัน  จะป้องกันการเกิดกลิ่นสาบได้เพราะกลิ่นโคลนไม่ใช่เป็นกลิ่นถาวรที่ติดอยู่กับตัวปลาตลอดไป  กลิ่นนี้จะหายได้เมื่อนำปลาไปใส่ไว้ในน้ำสะอาด  และงดให้อาหารเป็นเวลา 7 วัน  ที่อุณหภูมิน้ำ 24 องศาเซลเซียส  ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้จะทำให้กลิ่นโคลนหมดไปจากตัวปลาเร็วขึ้น
   การเกิดกลิ่นโคลน(off-flavors)ในเนื้อปลากลุ่ม catfish อาจเกิดจากหลายสาเหตุ  ได้แก่
                1.  เกิดจากแหล่งน้ำมีปริมาณของสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว (blue green) ซึ่งจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในแหล่งน้ำที่มีปุ๋ยและแร่ธาตุปริมาณสูงวิธีแก้ไขโดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำและเพิ่มปริมาณน้ำในบ่อเพื่อลดจำนวนของสาหร่ายและตายในที่สุด
                2. เกิดจากการให้อาหารปลามากเกินไป  ทำให้อาหารเน่าตกอยู่พื้นก้นบ่อซึ่งจะดูดซึมเข้าสู่ตัวปลาได้และทำให้เกิดการ bloom ของสาหร่ายสีน้ำเงินแกมเขียว  ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นสาบได้
                3. เกิดจากซากพืชหรือซากสัตว์ที่ตกค้างอยู่ในบริเวณ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นสาบได้ดังนั้นจะต้องทำความสะอาดบ่อกำจัดเศษซากพืช  ใบไม้  ออกให้หมด
                4.  ชนิดหรือส่วนผสมของอาหาร  อาหารที่มีส่วนผสมของจำพวกไขมันหรือสารละลายในไขมันทำให้เกิดกลิ่นสาบในเนื้อปลาได้
 
Share this video :

บทความที่ได้รับความนิยม

 
Support : |
Copyright © 2011-2012 อาชีพพารวย - All Rights Reserved
เข้าสู่ปีที่ 2 อาชีพพารวย เพื่อนคู่คิดนักเกษตร พ.ศ. 2555
เว็บไซต์เพื่อนเกษตร